ผู้ติดตาม

วันเสาร์ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2555

กลัวไหม ถ้าเจ้านายมาขอแอดเฟซบุ๊ค ?


รอยเตอร์- เป็นเรื่องปกติธรรมดาที่ชาวเฟซบุ็คทั้งหลายจะกลัวนักกลัวหนา ถ้าหากว่าวันดีคืนดีดันมีบุคคลใกล้ชิด (แต่เราไม่ค่อยอยากเป็นมิตรในมุมส่วนตัว) อย่างเพื่อนร่วมงานหรือเจ้านายมาขอแอดเป็นเพื่อนกับเราในเฟซบุ๊ค
ลองมาดูผลสำรวจล่าสุดของคนอเมริกัน 1,000 คน โดยลิเบอร์ตี มิวชวล ว่าด้วยเรื่องของความสัมพันธ์ในที่ทำงานโดยผ่านตัวแปรอย่างเฟซบุ๊ค ซึ่งก็มีทั้งเสียงที่ยอมรับได้ และอีกเสียงที่เห็นว่า นั่นเป็นการทำลายความเป็นส่วนตัวอย่างไม่น่าให้อภัย
ผู้ใช้ร้อยละ 76 บอกว่าไม่เสียหายหากจะแอดเพื่อนร่วมงานไว้เป็นเพื่อนในเฟซบุ๊ค ขณะที่เมื่อลงรายละเอียดยิบย่อยไปอีก ร้อยละ 56 กลับมองว่า ไม่มีความจำเป็นและไม่เห็นจะมีประโยชน์ที่จะต้องแอดเจ้านายเป็นเพื่อนในเฟซบุ๊ค และร้อยละ 62 ก็เห็นว่า การตอบรับเพื่อนร่วมงานให้ตามมาเป็นเพื่อนในเฟซบุ๊คอีกถือเป็นเรื่องที่ผิดพลาด
เคลลี ฮอลแลนด์ ทีมวิจัยโพลล์ของลิเบอร์ตี มิวชวล สรุปถึงผลการสำรวจที่ได้รับในครั้งนี้ว่า "ถ้าวันดีคืนดีมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น คุณจะยกเลิกความเป็นเพื่อนหรือไม่ ถ้าหากเพื่อนได้รับการโปรโมทให้เป็นเจ้านายของคุณ หรือหากเจ้านายของคุณได้รับการโปรโมทในตำแหน่งที่สูงขึ้นไปอีก เชื่อเลยว่าหลายคนที่เจอกรณีแบบนี้จะตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เพราะในสถานะของการทำงาน นี่ถือเป็นเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่งของชีวิตมนุษย์ทำงานทั่วไปเลยทีเดียว"
เมื่อพูดถึงเฟซบุ๊คกับคนทำงาน ปัญหาที่ตามมาอีกเรื่องย่อมหนีไม่พ้นการใช้โซเชียล เน็ตเวิร์ค หรือเครือข่ายสังคมออนไลน์ในระหว่างทำงานนั่นเอง ซึ่งร้อยละ 73 ของอาสาสมัครก็เห็นตรงกันว่าเป็นการกระทำที่ไม่สมควรเลยที่เห็นหลายๆ คนมานั่งอัพเดทเรื่องราวของตัวเองลงเฟซบุ็คระหว่างทำงาน และการอัพโหลดรูปภาพส่วนตัวลงเฟซบุ็คยังถือเป็นสิ่งต้องห้ามอย่างที่สุดเพราะมีคนเห็นว่าไม่เหมาะสมสูงถึงร้อยละ 82 ส่วนร้อยละ 72 ก็ไม่เห็นด้วยกับการนั่งทำงานไป ทวีต (tweet) ข้อความไป และร้อยละ 79 ก็ยอมรับว่าไม่ควรอนุญาตให้พนักงานนั่งดูคลิปวิดีโอในเวลาทำงาน
ขณะที่การรับส่งข้อความหรืออีเมล์นั้นยังคงถือเป็นเรื่องปกติที่จะมีได้ในขณะทำงาน เพราะอาสาสมัครร้อยละ 66 เห็นว่ายังมีความจำเป็น
"เมื่อพวกเขากำลังมุ่งมั่นกับงานที่ได้รับมอบหมาย คนทำงานทั้งหลายก็จะรู้หน้าที่ของตัวเองดีอยู่แล้วว่านี่คือเวลาทำงาน แตถ้านอกเหนือจากเวลางาน นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง"
ไม่เพียงแต่โซเชียล เน็ตเวิร์ค จะทำให้คนอเมริกันกลัวนักกลัวหนาว่าจะเข้ามาเป็นตัวทำลายความสัมพันธ์กับคนในองค์กร แต่ยังลามไปถึงเรื่องส่วนตัวและครอบครัว ร้อยละ 60 ตัดสินใจไม่ตอบรับแฟนหรือคู่รักของตัวเองเป็นเพื่อนในเฟซบุ็ค ขณะที่พ่อแม่มากกว่าร้อยละ 40 จะไม่ยอมโพสรูปลูกๆ ของตัวเองลงบนเฟซบุ็คเป็นอันขาด แต่เลือกที่จะเป็นฝ่ายควบคุมดูแลการเข้าไปใช้โซเชียล เน็ตเวิร์คของลูกๆ ด้วยตัวเอง พ่อแม่เกือบร้อยละ 60 แอดลูกของตัวเองเป็นเพื่อ

มีอะไรใหม่ในเกมส์ Restaurant City อัพเดทล่าสุด..!!


มีอะไรใหม่ในเกมส์ Restaurant City อัพเดทล่าสุด..!!


สวัสดีค่ะเพื่อนๆ กลับมาอีกครั้งหลังจากคราวที่แล้ว “ฟางข้าว” มาอัพเดท 2 ไอเทมใหม่ล่าสุดในเกมส์ Restaurant City (เรสเตอรองต์ ซิตี้)... แต่พอโพสท์ปุ๊บตัวเกมก็มีการอัพเดทเพิ่มอีกทันทีเลย 555+

ก่อนอื่นที่รู้สึกสะดุดตามากๆ คือ The Restaurant City Times (เดอะ เรสเตอรองต์ ซิตี้ ไทม์ส) หรือnewsletter (นิวส์เลทเทอร์ หรือจดหมายข่าว) รูปโฉมใหม่ที่มีการจัดวางภาพ – ข้อความ เหมือนหนังสือพิมพ์จริงๆ เลยค่ะ



เริ่มด้วยข่าวแรก ไอเทมใหม่ต้อนรับเทศกาลตรุษจีน – วาเลนไทน์... มาดูกันค่ะว่ามีอะไรใหม่ๆ บ้าง ^^ 

ไอเทมตกแต่งภายในร้าน
Restaurant City



ไอเทมตกแต่งหน้าร้าน

Restaurant City


ข่าวต่อไปเป็นเรื่องของเงินๆ ทองๆ นะคะ (ฟางไม่ได้มาขายของ แต่ทาง PlayFish เค้ามาขายค่ะ 555+) ข่าวที่ว่าคือ... Cash Ingredients (แคช อินเกรเดียนท์ส หรือไอเทมวัตถุดิบสำหรับปรุงอาหารที่สามารถซื้อได้ด้วยเงินแคช) ลดราคา จากที่คราวก่อนเคยมีการลดมาครั้งนึงแล้วจาก 8 PF Cash (พีเอฟ แคช หรือ เพลย์ฟิช แคชนั่นเอง) เหลือ 6 PF Cash แต่คราวนี้นำมาลดราคาเฉพาะบางชิ้นตามภาพเลยค่ะ

Restaurant City

Restaurant City

และถ้าต้องการ coins (คอยน์ส หรือเงินเหรียญทองในเกมส์นะคะ ไม่ใช่เงิน PF Cash) เพิ่ม..!? ให้หมั่นไปเยี่ยมร้านเพื่อนค่ะ เพราะล่าสุดนี้จะได้เงินเรียงตามลำดับในภาพนี้เลย...

Restaurant City

ส่วนข่าวสุดท้าย... เราสามารถจัด layout (เลย์เอาท์ หรือรูปแบบ) ร้านได้ 3 แบบซึ่งจริงๆ แล้วอัพเดทมาได้สักระยะหนึ่งแล้วค่ะ

---------------------------------------------------------------------


FangkaoW Tips (ฟางข้าวทิปส์)
หลังจากเกมส์ Restaurant City อัพเดทคราวนี้เปิดเกมส์มาปุ๊ปเจอเพื่อนๆ นอนกันกลาดเกลื่อน พอกดให้อาหารจึงได้พบว่า...

มีการเปลี่ยนแปลงชนิดของอาหาร - พลังงาน – ราคาที่ใช้ให้พลังงานเพื่อนพนักงานของเรา... คาดว่าต้อนรับวาเลนไทน์กันสุดๆ อ่ะ เพราะแต่ละอย่างหวานๆ หัวใจๆ ทั้งนั้น ^^


Restaurant City
Ruby Juice (น้ำผลไม้รูบี้)
ราคา 80 coins
ทำงานได้ 1 ชั่วโมง



Restaurant City
Lolly (อมยิ้มแห่งความรัก)
ราคา 150 coins
ทำงานได้ 2 ชั่วโมง



Restaurant City
Sundae (ไอศกรีมซันเด)
ราคา 200 coins
ทำงานได้ 3 ชั่วโมง



Restaurant City
Sweets (ของหวานชุดใหญ่)
ราคา 280 coins
ทำงานได้ 4 ชั่วโมง

ไม่รู้เหมือนกันว่า หลังจากเทศกาลนี้ จะยังเป็นอาหารแบบนี้อยู่อีกหรือเปล่า ไม่งั้นนะ... ฟันผุชัวร์ 555+




Restaurant City

และด้วยความสงสัยชอบทดลองเป็นการส่วนตัวจึงได้ทดลองให้พลังงานเต็ม 4 ชั่วโมงแล้วค่อยเปิดมาใหม่...
ปรากฏว่าจะรับรายได้ตามนี้ค่ะ



แต่กระนั้นถ้าร้านใครระดับ Popularily (ป๊อปปูลาริตี้ หรือค่าชื่อเสียงความนิยมของร้าน) อยู่ที่ 51 (มีรูปปั้นปลา) ก็ได้ 6000 coins เฉกเช่นเดียวกัน 555+




แต่ที่ทำให้แปลกประหลาดใจไปกว่านั้น... ตอนนี้หากใครเข้ามาดูแลร้านทุกวันต่อเนื่องก็จะได้รับวัตถุดิบเพิ่ม จากเดิมได้รับวันละ 1 ชิ้นก็จะมีสิทธิ์ได้รับมากสุดถึงวันละ 3 ชิ้นค่ะ (ใจดีจัง ^ ^) อันนี้ไม่รวมการตอบคำถามประจำวันนะคะ

วันแรกเข้าร้านมารับฟรี 1 ชิ้น
Restaurant City



วันถัดมา (จากวันแรก) เข้าร้านมารับฟรี 1+1 (เป็น 2 ชิ้น)
Restaurant City



ถัดมาอีกวันเข้าร้านมารับฟรี 1+1+1 (เป็น 3 ชิ้น) และในวันถัดๆ ไป (ที่ต่อเนื่องกันทุกวัน) ก็จะได้รับอัตรานี้ตลอดค่ะ
Restaurant City



แต่ถ้าเกิดมีวันไหนเนทเดี้ยง, ไปต่างจังหวัด, เล่นเกมส์ Country Story (คันทรี่ สตอรี่) เพลินไปหน่อย หรืออะไรก็ตามที่ทำให้วันนั้นไม่ได้เข้ามาดูแลร้าน... วันแรกที่เข้าหลังจากวันนั้นจะได้รับฟรี 1 ชิ้น (อธิบายง่ายๆ ว่าเริ่มนับเป็นวันแรกใหม่เลยนั่นเอง) ค่ะ

พูดถึงวัตถุดิบไปแล้วก็ต้องขอพูดถึงเมนูใหม่บ้างค่ะ... เพราะอัพเดทล่าสุดนี้มีเมนูใหม่เพิ่มขึ้นมาอีก 3 เมนู (2 เมนูจำกัดเวลาเรียนรู้ Limited Dish ประมาณภายใน 20 วัน และอีก 1 เมนูไม่จำกัดเวลาเรียนรู้ Unlimited Dish ซึ่งจะอัพเมื่อไหร่ก็ได้) ดังต่อไปนี้ค่ะ...

เมนูประเภท Main: Lovely Steak (Limited Dish)
Restaurant City



ภาพแบบชัดๆ ค่ะ
Restaurant City



เมนูประเภท Dessert: Sweet Rice Cake (Unlimited Dish) / Sweet Heart Mousse (Limited Dish)
Restaurant City



ภาพแบบสวยงาม... น่ากินชะมัด 555+
Restaurant City Restaurant City



หลังจาก level up (เลเวล อัพ) เมนูอาหารใหม่แล้วเหลือบไปเห็นราคาที่ดินยังลดราคาอยู่เลย เป็นโอกาสดีของคนที่อยากจะขยายร้านนะคะ... การขยายที่ดินข้างๆ ร้านมีเงื่อนไขและราคาดังนี้ค่ะ...


Restaurant City

ราคาเต็ม
เลเวล / ราคา / ขนาด 
20 / 5,000 / 6x6
25 / 15,000 / 8x8
30 / 32,000 / 10x10
35 / 70,000 / 12x12
40 / 150,000 / 14x14
45 / 310,000 / 16x16
50 / 550,000 / 18x18


ลดราคา 50 %
เลเวล / ราคา / ขนาด 
20 / 2,500 / 6x6
25 / 7,500 / 8x8
30 / 16,000 / 10x10
35 / 35,000 / 12x12
40 / 75,000 / 14x14
45 / 155,000 / 16x16
50 / 275,000 / 18x18




รวมทั้งหมด 7 ขั้นราคาลด 50% จะอยู่ที่ 540,000 จากราคาเต็มตั้ง 1,080,000 เลยนะคะ... คุ้มมากค่ะ ^^ 

วันเสาร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

10 อันดับมหาเศรษฐีแห่งวงการเทคโนโลยี


10 อันดับมหาเศรษฐีแห่งวงการเทคโนโลยี 
Forbes-ทางเว็บไซต์ฟอร์บส์ (Forbes) นิตยสารธุรกิจชั้นนำ ได้จัดอันดับ "400 มหาเศรษฐีรวยที่สุดในอเมริกา" ซึ่ง 3 อันดับแรก อันดับที่1 คงหนีไม่พ้น พ่อมดจาก Microsoft อย่าง Bill Gates  อันดับที่2 Warren Buffett เป็นหนึ่งในนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่และซีอีโอของบริษัทเบิร์กเชียร์ ฮาธาเวย์  ส่วนอันดับที่ 3 Larry Ellison เขาเป็น CEO ของบริษัท Oracle ซึ่งเป็นบริษัทซอฟแวร์ยักษ์ใหญ่ของโลก
เนื่องจากทางนิตยสาร Forbes ได้จัดอันดับมหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในอเมริกาถึง 400 อันดับ ดังนั้นทางทีมงาน Sanook! Hitech จึงขอจัดอันดับเศรษฐีวงการเทคโนโลยีแยกออกมามีดังนี้
10 อันดับมหาเศรษฐีแห่งวงการเทคโนโลยี
1. Bill Gates ไมโครซอฟท์ 1.7 ล้านล้านบาท หรือที่รู้จักในชื่อ บิล เกตส์ เป็นนักธุรกิจชาวอเมริกันและเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งบริษัทไมโครซอฟท์ เขาเป็นผู้บุกเบิกด้านคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล ซึ่งหลายคนรู้จักกันดีี
10 อันดับมหาเศรษฐีแห่งวงการเทคโนโลยี

2. Jeff Bezos อะเมซอน 5.7 แสนล้านบาท  นี่ถือว่าเป็นเจ้าพ่อแห่ง E-Commerce เลยก็ว่าได้ ร้านขายหนังสือออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง Amazon คงเป็นชื่อที่ทุกคนในวงการไอทีรู้จักกันเป็นอย่างดี Jeff Bezos ผู้ก่อตั้งและผู้บริหารสูงสุดของบริษัทได้เป็นแบบอย่างของคนที่ต้องการทำธุรกิจอินเตอร์เน็ต
10 อันดับมหาเศรษฐีแห่งวงการเทคโนโลยี
3. Mark Zuckerberg เฟสบุ๊ก 5.2 แสนล้านบาท (อายุ 27 ปี) เป็นนักธุรกิจชาวอเมริกันเป็นที่รู้จักในฐานะผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ เฟซบุ๊ก เขาร่วมก่อตั้งเฟสบุ๊กร่วมกับเพื่อนอีก 3 คน ขณะกำลังศึกษาที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด
10 อันดับมหาเศรษฐีแห่งวงการเทคโนโลยี
4. Sergey Brin กูเกิล 5 แสนล้านบาท  ในขณะที่กำลังศึกษาระดับปริญญาเอกเขาก็เริ่มมองหาหัวข้อวิทยานิพนธ์ หลังจากที่หาๆ ดูหลายเรื่อง สุดท้ายก็มาเจอเรื่อง World Wide Web และนี่ก็เป็นจุดเริ่มต้น ที่กลายเป็นไอเดียเปลี่ยนโลกบนอินเตอร์เน็ต จุดกำเนิดของยักษ์ใหญ่ในวงการซอฟท์แวร์ ก็เริ่มจากหัวข้อวิทยานิพนธ์ …
10 อันดับมหาเศรษฐีแห่งวงการเทคโนโลยี
5. Larry Page กูเกิล 5 แสนล้านบาท เป็นนักวิทยาการคอมพิวเตอร์ นักพัฒนาซอฟต์แวร์ และผู้ร่วมก่อตั้งกูเกิลคู่กับSergey Brin ( เซอร์เกย์ บริน) เขารับหน้าที่เป็นประธานกรรมการบริหารของบริษัทกูเกิล
10 อันดับมหาเศรษฐีแห่งวงการเทคโนโลยี

6. Steve Ballmer ไมโครซอฟท์ 4.1 แสนล้านบาท Steve Ballmer (สตีฟ บอลเมอร์) อดีตเพื่อนร่วมชั้นเรียนจากฮาร์วาร์ดของ Bill Gates ให้มาช่วยพวกเขาดำเนินกิจการของบริษัท ในปี ค.ศ. 1998 บิลล์เกตส์ได้เลื่อนตำแหน่งให้Steve Ballmer(สตีฟ บอลเมอร์) เพื่อนผู้คบหากันมานาน ให้ดำรงตำแหน่งผู้บริหารระดับสูง และดำรงตำแหน่ง หัวหน้าสถาปนิกซอฟต์แวร์ แทนเขาอีกด้วย
10 อันดับมหาเศรษฐีแห่งวงการเทคโนโลยี
7. Steve Jobs แอปเปิล 2.1 แสนล้านบาท  เป็นผู้นำธุรกิจและนักประดิษฐ์ชาวอเมริกัน ผู้ร่วมก่อตั้ง ประธาน อดีตประธานกรรมการบริหารของแอปเปิลคอมพิวเตอร์ เขาร่วมก่อตั้งแอปเปิลคอมพิวเตอร์กับ สตีฟ วอซเนียก ใน ค.ศ. 1976เป็นผู้มีส่วนช่วยทำให้แนวความคิดเรื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเป็นที่นิยมขึ้นมา
10 อันดับมหาเศรษฐีแห่งวงการเทคโนโลยี
8. Pierre Omidyar อีเบย์ 1.8 แสนล้านบาท นักธุรกิจชาวอเมริกันและนักสังคมสงเคราะห์ ผู้ที่ทำให้โลกรู้จักการประมูลออนไลน์อย่างแพร่หลาย ผู้ก่อตั้งและประธาน Ebay ทำให้ธุรกิจออนไลน์อีเบย์ เป็นธุรกิจออนไลน์ที่มีผู้ใช้มากที่สุดในโลก
10 อันดับมหาเศรษฐีแห่งวงการเทคโนโลยี
9. Eric Schmidt กูเกิล 1.8 แสนล้านบาท หลังจากจบการศึกษาจากโรงเรียนยอร์กทาวน์ไฮสคูล ในรัฐเวอร์จิเนีย ได้ศึกษาปริญญาตรีจาก มหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน ในสาขาวิศวกรรมไฟฟ้า และศึกษาต่อระดับปริญญาโทและเอกจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์  Eric Schmidt ยังเป็นผู้บริหารบริษัทกูเกิล และอดีตคณะกรรมการผู้บริหาร ของบริษัท Apple
10 อันดับมหาเศรษฐีแห่งวงการเทคโนโลยี

10. Dustin Moskovitz เฟสบุ๊ก 1 แสนล้านบาท (อายุ 27 ปี) เืพื่อนและผู้ร่วมก่อตั้ง Facebook.com กับ Mark Zuckerberg ในยุคเเรกๆ เริ่มขยายบริการเฟสบุ้กไปยังมหาวิทยาลัย เช่น สแตนฟอร์ด โคลัมเบีย และเยล ทำให้Facebook นั้น เป็นที่รู้จักในนามบริการออนไลน์ที่ทำให้ผู้ใช้แบ่งปันข้อมูลกับเพื่อนที่อยู่ในสังคมเดียวกันแบบรวดเร็วทันใจ

แค่คลิก... หน้า Timeline ก็หายวั๊บกลับไปเป็น Facebook ที่จริงใจเหมือนเดิม


แค่คลิก... หน้า Timeline ก็หายวั๊บกลับไปเป็น Facebook ที่จริงใจเหมือนเดิม
หลังการเปิดให้ Facebook Timeline กันมาสักระยะ ก็มีเสียงตอบรับทั้งในแง่บวก และแง่ลบกันทีเดียว ในแง่บอกก็คงเป็นความพึงพอใจที่ได้ทำรูป Cover แนวสร้างสรรค์โชว์ไอเดียเจ๋งๆ อวดเพื่อนๆ บางคนก็ใช้เป็นพื้นที่ไว้โฆษณาขายของ

แต่สำหรับคนที่ไม่ชอบก็คงรู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่ดูสับสนวุ่นวาย แถมยังขุดเรื่องเก่าๆ ออกมาโพสต์ให้เราเห็น บางคนที่ใช้เล่นผ่านแอพฯ บน SmartPhone ก็พบว่ามันมีปัญหาอยู่บ่อยๆ ที่ไม่ค่อยอัพเดตสิ่งที่เราพยายามโพสต์
ล่าสุดเว็บ SodaHead ได้ทำโพลสำรวจความเห็นของผู้ใช้ที่มีต่อ Timeline ได้ผลออกมาว่ามีผู้ใช้ Facebook กว่า 70% ที่ไม่ชอบเจ้า Timeline ส่วนที่ชอบนั้นมีเพียง 20% ของที่ทำการสำรวจ ส่วนอีก 10% ที่เหลือนั้นเป็นผู้ที่ไม่ได้ใช้งาน Facebook เมื่อแบ่งแยกผลสำรวจตามช่วงอายุ จะพบว่ากลุ่มตัวอย่างที่มีอายุอยู่ในช่วง 18-24 ปี ยอมรับการเปลี่ยนมาใช้ระบบ Timeline ได้ดีกว่าผู้ใหญ่ โดยคิดเป็น 30% ของทั้งหมดที่พอใจในตัว Timeline ในขณะที่กลุ่มผู้ใหญ่ที่อายุเกิน 65 ปีขึ้่นไปนั้น มีผู้ที่ชอบ Timeline เพียงแค่ 10% เท่านั้นเอง

สรุปแล้วดูเหมือนคนจะไม่ค่อยชอบหน้าแบบ Timeline ดูได้จากจำนวนคลิกลิงก์เพื่ออ่านทิปเรื่อง เทคนิคหนี "หน้า" Timeline ใน Facebook เพื่อเปิดใช้แบบเก่า ที่มีสูงถึง 33,859 views ซึ่งวิธีการที่อธิบายในครั้งนั้นอาจดูยุ่งยากสำหรับหลายคน ล่าสุดพี่มิ้งค์ไปเจอซอฟต์แวร์ช่วยเปลี่ยนหน้า Facebook กลับไปเป็นแบบเดิมที่ใช้ง่ายนามว่า TimeLineRemove ใช้ง่ายมาก เพราะแค่ติดตั้งโปรแกรมลงไปในเครื่องหน้า Facebook ก็จะถูกเปลี่ยนกลับ ณ บัด Now และเวลาอยากกลับไป Timeline ก็แค่เอาโปรแกรมออก (Control Panel -> Uninstall a program)
สนใจอยากลองใช้ก็แค่ไปโหลดที่ TimelineRemove สามารถใช้ได้กับบราว์เซอร์หลากหลายทั้ง FireFox, Chrome, IE ส่วน SAFARI อยู่ในช่วงการพัฒนาครับ

Facebook Timeline: ใช้ยังไงให้ Happy … รู้ดีหรือยังที่บ่น


Facebook Timeline: ใช้ยังไงให้ Happy … รู้ดีหรือยังที่บ่น
ลองมองไปที่ปุ่ F บนคีย์บอร์ดคอมพิวเตอร์ของคุณสิครับว่ามันถูกใช้งานหนักมากจนตัวอักษรเริ่ม เลือนลางไปแล้วหรือเปล่า? คงปฏิเสธไม่ได้ว่าปัจจุบันเว็บที่เราเข้าบ่อยที่สุดอาจจะไม่ได้ Google แล้ว แต่เป็นเครือข่ายสังคมออนไลน์อย่างFacebook ที่แทบทุกคนจะต้องมีเอาไว้ใช้ติดต่อสื่อสาร อัพเดตข่าวจากเครือข่ายเพื่อนๆ ที่อยู่บนระบบออนไลน์ และเมื่อคนใช้มีเป็นจำนวนมาก การเปลี่ยนแปลงใดๆ ที่เกิดขึ้นก็ย่อมส่งผลกระทบมากตามไปด้วย
ด้วย Facebook Timeline คุณสามารถจะใส่ชีวิตทั้งชีวิตของคุณลงไปในนั้น เป็นเหมือนบันทึกเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับชีวิตของคุณตามช่วงเวลาต่างๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นการโพสต์ Status, รูปภาพ, วิดีโอ รวมถึงกิจกรรมอื่นๆ ที่เกิดขึ้นบนโลกของ Facebook
Facebook Timeline
หลาย คนอาจจะถามว่าแล้วข้อมูลส่วนตัวของฉันก่อนที่จะมาเล่น Facebook มาจากไหน คำตอบก็คือคุณต้องเป็นคนอัพโหลดขึ้นไปเองครับ Facebook ไม่สามารถไปค้นหาประวัติของคุณมาใส่ได้ ซึ่งถ้าทำได้จริงๆ ต้องถือว่าเป็นระบบที่ “โคตรเทพ” และเป็นระบบที่ “โคตรน่ากลัว” เอามากๆ เลยทีเดียวที่สามารถทราบข้อมูลของเราทั้งหมดตั้งแต่เราเกิด (แค่ตอนสมัคร Google+ แล้วมันมีข้อมูลเราหมดเลยไม่ว่าจะเป็นอาชีพ สถานที่ทำงาน โรงเรียน แค่นี้ก็ตกใจจะแย่แล้ว) ดังนั้นเราจึงต้องกรอกข้อมูลงไปเองโดยเรียงตามลำดับเวลา ซึ่งแน่นอนว่า “โกงได้” ไม่ต้องบันทึกตามช่วงเวลาที่เกิดขึ้นจริง ก็แหม… ใครจะไปจำได้ว่าเหตุการณ์ไหนเกิดขึ้นก่อนหลังแบบเป๊ะๆ จริงไหมครับ
คลิกที่ปก เพื่ออ่าน e-Book ตัวอย่างของ Computer.Today ฉบับที่ 421 ปักษ์หลัง ม.ค. 2555

[Tip & Trick] เทคนิคการตั้งค่า Socialcam ไม่ให้โพสบนหน้า Facebook


[Tip & Trick] เทคนิคการตั้งค่า Socialcam ไม่ให้โพสบนหน้า Facebook
        
ในช่วง 2-3 วันมานี้ กระแสของ Socialcam เริ่มเป็นที่รู้จักในสังคมชาว Facebook กันบ้างแล้ว ด้วยลักษณะเด่นพิเศษตรงที่ ไม่ว่าใครจะดูคลิปอะไร แบบไหน Socialcam นี้ จะเป็นตัวกระจายให้คนอื่นๆ ได้ทราบว่า คุณกำลังดูอะไรอยู่ ซึ่งถ้าหากเป็นคลิปปกติทั่วๆ ไปคงจะไม่ใช่ปัญหาอะไรครับ
แต่สิ่งที่เป็นจุดสนใจ และทำให้คนส่วนใหญ่ เผลอกดเข้าไปดูนั้น ก็คือ คลิปประเภทวาบหวิว เซ็กซี่เล็กๆ นั่นเอง จนบางทีดูเหมือนจะเป็น scam บน Facebook ไปเลยก็ว่าได้ แต่ก็มีคนจำนวนไม่น้อย ที่เผลอกดเข้าไป และติดตั้งแอพพลิเคชั่น Socialcam แบบไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ทีนี้เลยกลายเป็นว่า ไม่ว่าเราจะดูคลิปอะไร Socialcam เลยทำการป่าวประกาศให้คนทั้ง Facebook รู้กันจนทั่ว จนความเป็นส่วนตัวของเรา หายไปจากหน้า Facebook

หน้าตาของโพสผ่านทาง Socialcam จะมีลักษณะเป็นเช่นนี้ครับ
ถ้าหากเราคลิ๊กที่คำว่า Socialcam จะมีหน้าต่างเด้งให้ทำการติดตั้งแอพพลิเคชั่น Socialcam ซึ่งจากหน้านี้ เราสามารถตั้งค่าความเป็นส่วนตัวได้เลยทันที แต่เป็นเพราะคนเรามักไม่ค่อยอ่านครับ เห็นอะไรเด้งๆ ขึ้นมา ก็กดๆ ผ่านไป จากตรงนี้ ให้เปลี่ยนจาก Public เป็น Only Me เพียงแค่นี้ ก็ไม่มีใครรู้แล้วว่า เราดูคลิปอะไรอยู่
แต่ถ้าหากว่า ได้ทำการติดตั้ง Socialcam ไปแล้ว และอยากจะทำการแก้ไขความเป็นส่วนตัว สามารถทำได้เช่นกันครับ ดังนี้


เข้าไปที่หน้า Account Settings จากนั้นเมนูด้านซ้ายมือ จะมีคำว่า Apps ให้คลิ๊กครับ แล้วเลือก Edit ที่ Socialcam ครับ
ตรงส่วนของ Posts on my behalf ให้เปลี่ยนจาก Public เป็น Only Me เพียงเท่านี้ คนอื่นก็จะไม่รู้เลยว่า คุณกำลังดูคลิปอะไรอยู่
ขอบคุณเนื้อหา และภาพประกอบ: Techmoblog

ยอดผู้ใช้ “เฟซบุ๊ก“ ใกล้ 1 พันล้านแล้ว

Facebook ประกาศเปิดตัว App Center


Facebook ประกาศเปิดตัว App Center
Facebook - รายงานข่าวล่าสุด เฟซบุ๊ก (Facebook) รุกหนักก่อนเข้าตลาดด้วยการแนะนำ Facebook App Center ศูนย์รวมแอพฯ แห่งใหม่ให้กับลูกค้าที่เป็นสมาชิกผู้ใช้บริการกว่า 900 ล้านรายสามารถค้นหาเกมส์ และแอพฯ ต่างๆ บนเครือข่ายสังคมออนไลน์ได้ สำหรับบริการแอพฯ ดังกล่าวจะมีทั้งที่ให้ดาวน์โหลดฟรี และจ่ายเงินด้วย ซึ่งนั่นหมายถึงแหล่งรายได้ใหม่ของเฟซบุ๊กที่มาจากการมีผู้ใช้บริการมาก มายมหาศาลนั่นเอง
 
Facebook App Center จะเป็นครั้งแรกที่ทางบริษัทจะเปิดโอกาสให้นักพัฒนาสามารถขายแอพฯ กับผู้บริโภคที่เป็นสมาชิกของเฟซบุ๊กได้โดยตรง โดยผู้ใช้จะสามารถซื้อแอพฯ ได้ด้วย Facebook Credits ระบบชำระค่าสินค้า และบริการของเฟซบุ๊ก ทั้งนั้ เฟซบุ๊กจะชาร์จรายได้ประมาณ 30% จาก In-app purchase ของนักพัฒนา สำหรับแอพฯ ที่จะมีให้บริการใน App Center จะมีตั้งแต่โซเชียลเกมส์ไปจนถึงบริการเพลง ซึ่งทั้งสองส่วนนี้เป็นบริการยอดฮิตบนเฟซบุ๊ก ข้อมูลจากบริษํทระบุว่า มีแอพฯมากกว่า 200 ตัวบนเฟซบุ๊กที่มีผู้ใช้มากกว่า 1 ล้านราย Facebook App Center จะเปิดให้บริการแอพฯ ที่ออกแบบเพื่อใช้งานบนพีซี และโมบายอย่างเช่น iPhone และสมาร์ทโฟน Android อย่างไรก็ตาม หากแอพฯ ที่ผู้ใช้บริการต้องการมีการติดตั้งบนอุปกรณ์โมบาย Facebook จะส่งลูกค้ารายนั้นๆ ไปยัง App Store ของ Apple หรือ Play Store ของ Google เพื่อดาวน์โหลดแอพฯ ดังกล่าว

Facebook ประกาศเปิดตัว App Center


Facebook ประกาศเปิดตัว App Center
Facebook - รายงานข่าวล่าสุด เฟซบุ๊ก (Facebook) รุกหนักก่อนเข้าตลาดด้วยการแนะนำ Facebook App Center ศูนย์รวมแอพฯ แห่งใหม่ให้กับลูกค้าที่เป็นสมาชิกผู้ใช้บริการกว่า 900 ล้านรายสามารถค้นหาเกมส์ และแอพฯ ต่างๆ บนเครือข่ายสังคมออนไลน์ได้ สำหรับบริการแอพฯ ดังกล่าวจะมีทั้งที่ให้ดาวน์โหลดฟรี และจ่ายเงินด้วย ซึ่งนั่นหมายถึงแหล่งรายได้ใหม่ของเฟซบุ๊กที่มาจากการมีผู้ใช้บริการมาก มายมหาศาลนั่นเอง
 
Facebook App Center จะเป็นครั้งแรกที่ทางบริษัทจะเปิดโอกาสให้นักพัฒนาสามารถขายแอพฯ กับผู้บริโภคที่เป็นสมาชิกของเฟซบุ๊กได้โดยตรง โดยผู้ใช้จะสามารถซื้อแอพฯ ได้ด้วย Facebook Credits ระบบชำระค่าสินค้า และบริการของเฟซบุ๊ก ทั้งนั้ เฟซบุ๊กจะชาร์จรายได้ประมาณ 30% จาก In-app purchase ของนักพัฒนา สำหรับแอพฯ ที่จะมีให้บริการใน App Center จะมีตั้งแต่โซเชียลเกมส์ไปจนถึงบริการเพลง ซึ่งทั้งสองส่วนนี้เป็นบริการยอดฮิตบนเฟซบุ๊ก ข้อมูลจากบริษํทระบุว่า มีแอพฯมากกว่า 200 ตัวบนเฟซบุ๊กที่มีผู้ใช้มากกว่า 1 ล้านราย Facebook App Center จะเปิดให้บริการแอพฯ ที่ออกแบบเพื่อใช้งานบนพีซี และโมบายอย่างเช่น iPhone และสมาร์ทโฟน Android อย่างไรก็ตาม หากแอพฯ ที่ผู้ใช้บริการต้องการมีการติดตั้งบนอุปกรณ์โมบาย Facebook จะส่งลูกค้ารายนั้นๆ ไปยัง App Store ของ Apple หรือ Play Store ของ Google เพื่อดาวน์โหลดแอพฯ ดังกล่าว

เฟซบุ๊ก เตรียมอนุญาตให้เด็กต่ำกว่าอายุ 13 ปี เล่นได้


เฟซบุ๊ก กำลังพัฒนาระบบเพื่ออนุญาตให้เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 13 ปี สามารถลงทะเบียนเล่นเฟซบุ๊กได้แล้ว ท่ามกลางความวิตกกังวลจากบรรดาพ่อแม่ เรื่องความปลอดภัย

บริษัทเฟซบุ๊ก เจ้าของโซเชียลเน็ตเวิร์คยักษ์ใหญ่ของโลก ออกมาแถลงว่า ขณะนี้กำลังทำการพัฒนาโปรแกรมเพื่ออนุญาติให้เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 13 ปีสามารถเล่นเฟซบุ๊กได้ ซึ่งคาดว่าจะสามารถเพิ่มจำนวนผู้เล่นได้อย่างมาก รวมไปถึงรายได้ของเฟซบุ๊กที่จะตามมาอีกด้วย ภายหลังการตั้งคำถามของบรรดานักลงทุนว่า เฟซบุ๊กจะสามารถรักษาการเติบโตของรายได้ที่สูงถึงร้อยละ 88 ในปี 2554 ได้หรือไม่

ส่วนในเรื่องความปลอดภัยนั้น เฟซบุ๊กกล่าวว่า ทางบริษัทกำลังพัฒนาเทคโนโลยีให้บัญชีผู้เล่นของเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 13 ปี เชื่อมต่อกับบัญชีผู้เล่นของผู้ปกครองได้ ซึ่งผู้ปกครองสามารถควบคุมการเล่นของเด็กๆ ทั้งเรื่องการตอบตกลงรับ "เพื่อน" ในเฟซบุ๊ก หรือแม้กระทั่งการดูแลค่าใช่จ่ายหากเด็กต้องการเล่นเกมส์ หรือสื่อบันเทิงอื่นๆ ที่มีค่าใช้จ่าย

ในปัจจุบันนี้ เฟซบุ๊กกำลังพบปัญหา การปลอมแปลงข้อมูลอายุ ของเด็กต่ำกว่าอายุ 13 ปี เพื่อที่จะลงทะเบียนเล่นเฟซบุ๊ก โดยหน่วยงานคุ้มครองผู้บริโภคสำรวจพบว่า ในปี 2554 มีเด็กต่ำกว่าอายุ 13 ที่ลักลอบเล่นเฟซบุ๊กโดยการปลอมแปลงข้อมูลถึง 7.5 ล้านคน และนี่ทำให้เฟซบุ๊กตกอยู่ในที่นั่งลำบาก เนื่องด้วยตามกฎหมายของสหรัฐอเมริกา ข้อมูลของเด็กต่ำกว่าอายุ 13 ปี จะถูกเผยแพร่ได้ก็ต่อเมื่อมีการยินยอมจากผู้ปกครองเท่านั้น

ทั้งนี้ นอกจากประเด็นทางกฎหมายแล้ว เฟซบุ๊กยังมีความจำเป็นในการหากลยุทธ์ใหม่เพื่อเพิ่มรายได้ ภายหลังราคาหุ้นของเฟซบุ๊กที่ตกลง และจากผลสำรวจที่ว่าการลงโฆษณาในเฟซบุ๊กไม่ได้รับผลตอบแทนเท่าที่ควร ดังนั้นเฟซบุ๊กอาจเห็นช่องทางรายได้จากการริเริ่มนโยบายดังกล่าว เนื่องด้วย ตลาดการเล่นเกมส์ของเด็กนั้นมีมูลค่ามหาศาล และในขณะนี้ บริษัทสมาร์ทโฟนชื่อดังอย่าง แอปเปิล และกูเกิล กำลังผูกขาดการเป็นเจ้าของส่วนแบ่งตลาดดังกล่าว

Facebook Phone คอนเซ็ปต์นี้เทพจริงๆ


Facebook Phone คอนเซ็ปต์นี้เทพจริงๆ
เป็นการออกแบบของนาย Tolga Tuncer ที่ต้องยอมรับว่าคอนเซ็ปต์ที่เค้าได้ออกแบบมานั้นเทพมาก แถมโดนใจผมด้วย ส่วนเรื่องที่ว่ามันจะได้ออกมาสู่ท้องตลาดหรือป่าว...ตอบเลยว่าห่างไกลความจริง เพราะสมาร์ทโฟนแบบนี้อาจจะมีชื่อ Facebook เป็นจุดขายแต่คงไม่ดีพอสำหรับตลาด
ซึ่ง Facebook Phone เครื่องนี้นั้นตัวเครื่องเป็นอลูมิเนียมสีฟ้า มีขนาด (17.5 ซม. x 5.5cm) อีีกหนึ่งจุดเด่นจอแสดงผลเป็นอย่างที่ดูได้แม้ในขณะที่โทรศัพท์จะแบนบนโต๊ะ
คุณสมบัติพื้นฐานของ Facebook Phone ได้แก่
  • ด้านบนมีข้อความแจ้งเตือนองค์ประกอบรวมกันเป็นปุ่มในการเข้าถึงศูนย์การส่งข้อความของคุณได้โดยตรง
  • มีลำโพงภายในและการเชื่อมต่อหูฟัง
  • ด้านหน้ามีปุ่มชอบ (Like)
  • หูฟัง, ลำโพงและไมโครจะมีแหน่งอยู่ด้านหลัง
  • ด้านหลังมีปุ่มกล้องใหม่ที่พัฒนาด้วย LED-แฟลช
  • Spotify จะถูกฝังเข้าไปในระบบด้วยปุ่มเฉพาะที่ด้านซ้าย
 ใครชอบดีไซน์ของนาย Tolga Tuncer ก็ขอ Like เป็นกำลังใจให้เค้ากันเยอะๆ 
ที่มา: yankodesign.com

ชื่อผู้ใช้และรหัสเข้าใช้...ปลอดภัยไว้ก่อน


เรื่องความปลอดภัยบนโลกออนไลน์ที่เรามาเตือนให้แก่ชาว Lisa บ่อยๆ  ไม่ว่าจะเป็นเรื่องบัตรเครดิต การซื้อของจากร้านค้าบนอินเทอร์เน็ต หรือการล่อลวงฉ้อโกงต่างๆ อาจจะดูไกลตัวเกินไป แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ใกล้ตัวพวกเรามากๆ นั่นคือชื่อและรหัสผ่านต่างๆ ที่เราใช้บนโลกออนไลน์
เรื่องชื่อใครว่าไม่สำคัญ คนส่วนใหญ่อาจจะไปกังวลแต่เรื่องตั้งรหัสผ่าน หรือ Password ให้ซับซ้อน แต่กับชื่อเข้าใช้ หรือชื่อแทนตัวบนโลกออนไลน์กลับไม่สนใจ ยกตัวอย่างชื่อบน Facebook หลายคนใช้ชื่อและนามสกุลจริง ซึ่งคงไม่มีปัญหาอะไรถ้าคุณเป็นคนที่ไม่ได้เป็นเพื่อนกับใครเยอะแยะ มีแต่กลุ่มเพื่อนที่รู้จักกันอยู่แล้วเท่านั้น แต่ถ้าคุณชอบเล่นเกม ชอบมีเพื่อนคุยเยอะๆ ละก็ ขอแนะนำให้ทำการเปลี่ยนชื่อ Profile เถอะครับ การรู้ชื่อเสียงเรียงนาม นามสกุล การศึกษา การทำงาน เราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าจะมีผู้ไม่หวังดีกับเราอยู่ในแวดวง Facebook มั้ย
รหัสผ่านตั้งแค่ไหนจะปลอดภัย Password ในการเข้าระบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอีเมลล์ โลกสังคมออนไลน์ แฟ้มงานในคอมพิวเตอร์ ต่างก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน คุณคงไม่อยากยื่นกุญแจเข้าบ้านให้คนที่ไม่รู้จักใช่มั้ย ดังนั้น อย่าทำสิ่งต่อไปนี้ครับ
- ตั้งรหัสแบบขี้เกียจ เช่น เอาชื่อเล่นมาเป็นรหัส หรือใช้ตัวเลขง่ายๆ แบบ 1234
- ตั้งรหัสทุกอย่า่งในชีวิตเหมือนกันหมด ไม่ว่าจะเป็นเข้าอีเมล์ เข้า Facebook บัตร ATM
- ใช้วันเดือนปีเกิด หรือเบอร์โทรศัพท์ ไม่ว่าจะเป็นของตัวเองหรือของแฟนก็ตาม
- ตั้งรหัสไว้และก็เขียนรหัสนั้นใส่กระดาษพกติดตัว หรือติดไว้ที่โต๊ะทำงาน
แล้วรหัสผ่านที่ดีละควรเป็นอย่างไร อย่างน้อยก็ ควรมี สิ่งต่อไปนี้ครับ
- มีการผสมกันของคำมากกว่าหนึ่งคำ
- มีการผสมกันของทั้งตัวเลขและตัวอักษร
- ถ้าเป็นไปได้ใส่พวกเครื่องหมายต่างๆ เข้าไปด้วย เช่น !, @, #, $ เป็นต้น
- รหัสผ่านควรเป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษ เพราะระบบแต่ละที่ไม่เหมือนกัน การใช้ภาษาไทยอาจมีปัญหาเมื่อเปลี่ยนเครื่อง หรือ Browser
ทีนี้ผมมีเทคนิคเล็กน้อยมาแนะนำด้วยครับ ลองตั้งรหัสแบบนี้ดู ผมมั่นใจว่าต้องไม่มีคนแกะได้ ขอให้คุณจำให้ได้ก็แล้วกัน
- ตั้งรหัสจากเนื้อเพลงท่อนโปรด
- ตั้งรหัสแบบกลับไทยเป็นอังกฤษ (ตั้งคีย์บอร์ดเป็นภาษาอังกฤษแต่คิดว่าพิมพ์ไทยอยู่) ยกตัวอย่างเช่นอยากตั้งรหัสว่า "ลิซ่า" จะต้องพิมพ์เป็น "]b:jk"
- ตั้งรหัสแบบพิมพ์กลับหลัง
อ่านบทความจบแล้วอย่าลืมกลับไปเปลี่ยนรหัสผ่านกันนะครับ และถ้าให้ดีรหัสที่สำคัญมากๆ ควรจะเปลี่ยนบ่อยๆ ทุก 3 เดือน และอย่าบอกใครแม้แต่แฟนนะครับ

สำรวจความพอใจจากชาว สังคมออนไลน์ Facebook รั้งที่โหล่


สำรวจความพอใจจากชาว สังคมออนไลน์ Facebook รั้งที่โหล่
ถึงจะเป็นสังคมออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุด คนเล่นเยอะที่สุด แต่พอมีผลสำรวจความพึงพอใจจาก User ผู้ใช้งาน กลับได้ความพึงพอใจในการใช้งานไปน้อยที่สุด ซึ่งกลับเป็น Google+ ที่คว้าที่ 1 ไปแทน ซึ่งผลการสำรวจนี้ มาจาก  American Customer Satisfaction Index E-Business (ACSI) ซึ่งได้ทำการสำรวจความพึงพอใจจาก ชาว Social Network ทั้งหลายในอเมริกา
ซึ่งผลปรากฏว่า จาก คะแนนเต็ม 100 Google+ ได้คะแนนไปถึง 78 คะแนน ซึ่งก็คว้าคะแนนเป็นที่ 1 ด้วยครับ ตามมาด้วย Pinterest ซึ่งทำคะแนนไปได้ 69 คะแนน Twitter ทำไปได้ 64 คะแนน
รั้งท้ายด้วย Facebook ครับ ซึ่งทำคะแนนได้ 61 คะแนน แถมคะแนนความพึงพอใจยังลดลงจากปีที่แล้วด้วยละครับ ที่ Google+ รั้งคะแนนเป็นที่ 1 เป็นเพราะเรื่องความปลอดภัยครับ และไม่มี
โฆษณามาให้รกหูรกตา
และอีกเหตุผลสำคัญที่ทำให้ Facebook ตกมาที่โหล่ ก็อาจเป็นเพราะการเปลี่ยนรูปแบบมาเป็น Timeline นี่แหละครับ แต่ก็งงนะครับ ถึงจะไม่พอใจอย่างไร แต่สุดท้าย ก็ต้องเล่น Facebook อยู่ดี 

วิธีใช้ Facebook แบบเป็นสุขและสร้างสรรค์


นิตยสาร Secret ฉบับ 97 ปักษ์ 10 ก.ค. 2555
คอลัมน์ : Life Management
เรื่อง : วรวิทย์ เต็มวุฒิการ


หลังจากที่โลกได้ค้นพบเว็บไซต์โซเชี่ยลเน็ตเวิร์คที่ชื่อ "Facebook" วิถีชีวิตของมนุษย์ก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
จากข้อมูลในเว็บไซต์ MBAonline.com ระบุว่าในแต่ละวัน มีผู้คนทั่วโลกใช้เวลาอยู่กับ Facebook นานถึง 4.7 พันล้านนาที โดยมีการ upload ภาพกันมากกว่า 250 ล้านภาพ ซึ่งถ้าทุกภาพถูกพิมพ์ออกมาจะมีความยาวประมาณ หอไอเฟล 80 หอเรียงต่อกัน!
แน่นอนว่าการบริโภคจนเกินพอดี ย่อมเกิดผลเสียตามมา ไม่ว่าจะเป็นการเสียงานเสียการเรียน ไปจนถึงสูญเสียความสามารถในการปรับตัวเข้าหาสังคมแห่งความจริง เรียกว่าล็อกอินก็ทุกข์ ล็อกเอาท์ก็อยู่ไม่เป็นสุข แต่ถึงกระนั้น ก็ต้องยอมรับว่า Facebook ยังมีข้อดีอยู่หลายประการ การจะลาขาดกันจึงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ
ถ้าเช่นนั้นเราควรจะทำอย่างไรกันดี
5 สัญญาณเตือนว่า Facebook กำลังคุกคามจิตใจคุณ
ก่อนหน้าที่จะไปถึงขั้นตอนการเล่น Facebook ให้สร้างสรรค์ แบบไม่ทุกข์ ลองมาทบทวนตัวเองกันก่อนว่า คุณถูกเจ้าพ่อโซเชี่ยลเน็ตเวิร์คเจ้านี้บุกรุกเข้ามาในหัวใจและหัวสมองมากมายขนาดไหน โดยดูว่า 5 สัญญาณเตือน(ภัย)ต่อไปนี้เกิดกับคุณแล้วหรือไม่
1. เวลาพักผ่อนของคุณเริ่มน้อยลง หากคุณต้องอดตาหลับขับตานอนเล่น Facebook จนดึกจนดื่น ทำให้รู้สึกเหนื่อยล้าในวันถัดไป ไม่มีสมาธิทำงาน นั่นหมายถึงสัญญาณเตือนภัยได้เริ่มขึ้นแล้ว
2. คุณครองแชมป์เกมต่างๆ ใน Facebook เกือบทุกเกม แน่นอนว่าจะมีข้อความขอความช่วยเหลือเรื่อง Item ต่างๆ จนรก Wall อยู่เป็นประจำ ทำให้หลายคนตัดคุณออกจากลิสต์เพื่อนด้วยเหตุนี้มาแล้ว แต่คุณก็ยังไม่เข็ด
3. คุณใช้เวลาเล่น Facebook ไม่ต่ำกว่า 1 ชั่วโมงทุกวัน ถ้าคุณใช้เวลาอยู่ที่หน้านี้มากขึ้นเรื่อยๆ รวมทั้งมีใจว้าวุ่นอยากพิมพ์ Status หรืออ่านข้อความทุกครั้งที่มีโอกาส อาการของคุณเริ่มน่าเป็นห่วงแล้วละ
4. สังคมเพื่อนใน Facebook มีอิทธิพลกับชีวิตคุณมากขึ้น ลองถามตัวเองดูว่า คุณเริ่มสนิทกับเพื่อนใน โลกออนไลน์มากกว่าเพื่อนที่ทำงานหรือยัง ถ้าคำตอบคือ "ใช่" สัญญาณเริ่มชัดเจนมากขึ้นอีกขั้น
5. คุณยอมหมดเงินซื้อ iPhone, Blackberry และสารพัน Tablet ทั้งหมดก็เพื่อออนไลน์ Facebook ได้ทุกที่ทุกเวลา...ก็เท่านั้นเอง!
หาก 5 ข้อที่ว่ามานี้ตรงกับตัวคุณ 1-2 ข้อ คุณเริ่มมีอาการเสพติดในระดับที่พึงระวังได้แล้ว แต่ถ้าคุณอยู่ในข่ายนี้ตั้งแต่ 3 ข้อขึ้นไป นั่นหมายความว่าอาการของคุณอยู่ในขั้นรุนแรง ต้องรีบหาทางเยียวยาโดยด่วน แต่ไม่ว่าอาการติดของคุณจะอยู่ในระดับใด ก็สามารถควบคุมได้ หากได้รับการป้องกันและรักษาแบบตรงจุด

ตั้งสติ เมื่อล็อกอิน!
การดำเนินชีวิตที่ปราศจากซึ่งสติและสัมปชัญญะย่อมนำไปสู่การใช้ชีวิตที่ประมาท และนำผลเสียมาสู่ตัวเองทั้งในระยะสั้นและระยะยาวได้อย่างง่ายดาย ด้วยเหตุนี้ การรู้จักตั้งสติ คิดพิจารณาให้เท่าทันไปกับทุกอิริยาบถ และทุกสิ่งที่กระทำ จึงเป็นข้อควรจำและควรทำอย่างยิ่ง
Secret tips
• เล่นให้ถูกที่ ถูกเวลา ปัจจุบันมีหลายบริษัทที่ใช้วิธีบล็อกไม่ให้พนักงานเล่น Facebook เพื่อป้องกันไม่ให้เสียเวลาไปกับโซเชี่ยลเน็ตเวิร์คจนเสียงานเสียการ มีกรณีตัวอย่างมากมายของคนชอบคลิกที่ถูกไล่ออกจากงาน เพราะเข้าเว็บไซต์บ่อยกว่าทำงาน หรือไปโพสต์แสดงความคิดเห็นลบๆ ต่อบริษัทในเฟซบุ๊คแล้วโดนจับได้ ฯลฯ ดังนั้นควรเลือกเล่นให้ถูกที่ ถูกเวลา และถูกทาง
• "ตื่นรู้" อยู่เสมอ การตั้งสติก่อนคลิกทุกครั้งจะช่วยให้เราจัดการความคิด หักห้ามใจตัวเองและปฏิเสธเสียงเรียกร้องจากภายในได้ดีขึ้น ถ้าทำได้จิตจะไม่หลงเพลินไปกับความสนุกสนานจากการอ่านข้อความหรือเล่นเกม โดยขาดวิจารณญาณในการพินิจพิเคราะห์ถึงความถูกต้อง รวมทั้งสามารถควบคุมจิตใจไม่ให้จิตตกหมกมุ่นไปกับข้อมูลข่าวสาร ซึ่งบางทีอาจไม่มีสาระสำคัญกับชีวิตเราเลยแม้แต่น้อย

วิธีสร้างภูมิคุ้มใจ ให้เล่น Facebook โดยไม่ทุกข์
เนื่องจากมีข่าวลือข่าวลวงถูกโพสต์อยู่ตลอดเวลา การอ่าน โพสต์ และแชร์ข้อมูลใน Facebook แต่ละครั้งจึงต้องรู้จักพิจารณาตีความสารต่างๆ อย่างเท่าทัน วิธีที่ดีที่สุดคือ การพิจารณาและวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้หลัก "กาลามสูตร" (วิธีปฏิบัติต่อสิ่งที่ตนสงสัยหรือหลักความเชื่อ 10 ประการ)
การพิจารณาข่าวสารหรือข้อมูลต่างๆให้ครบทั้ง 10 ประการนั้น อาจดูเหมือนยุ่งยาก แต่รับรองว่าทำแล้วจะเกิดผลดีกับตัวคุณแน่นอน เพราะเพียงทำตามข้อแรก "อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการฟังตามๆ กันมา" ก็สามารถการป้องกันการตื่นตูม หรือใจเร็วด่วนแชร์ข้อมูลได้เห็นๆ แล้ว
หนึ่งในปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมยุคปัจจุบันคือ มีคนจำนวนไม่น้อยที่จมอยู่กับ Facebook และอินเตอร์เน็ต จนประสบปัญหาในการแยกแยะเรื่องที่ดีกับเรื่องที่ไม่ดี ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลที่อัพเดตอยู่ตลอดเวลา หรือเพื่อนที่ขอแอดเพิ่มขึ้นทุกวัน บางครั้งข้อความที่มีผู้โพสต์เข้ามา เป็นเพียงความคิดเห็นที่แตกต่าง ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องเก็บมาเครียดเลยสักนิด ดังนั้น เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาดังกล่าว เราจึงขอนำเสนอวิธีการคิดแยกแยะแบบพุทธที่คุณสามารถนำไปใช้ได้ง่ายๆ นั่นคือ...
"วิธีคิดแบบวิภัชชวาท" หรือ การคิดแบบแยกประเด็นปัญหา ไม่มองปัญหาด้านเดียว ซึ่งมีประโยชน์มากเมื่อต้องตัดสินใจ เพราะเป็นการมองปัญหาอย่างรอบด้าน แล้วจึงแยกแยะประเด็นทีละประเด็น จากนั้นจึงค่อยๆวิเคราะห์แต่ละประเด็นอย่างละเอียดรอบคอบ พร้อมทั้งใช้สติสัมปชัญญะในการเลือกรับแต่สิ่งดีๆ เข้ามา ดังที่ท่านพุทธทาสเคยกล่าวไว้ว่า
"การเพิ่มพูนความรู้ หรือปัญญาลึกซึ้งมันก็มาจากโยนิโสมนสิการ ไม่ว่าเรื่องบ้าน เรื่องโลก เรื่องธรรมะ การรับเข้ามาด้วยวิธีใดก็ตาม ได้ฟังจากผู้อื่น อ่านจากหนังสือหรือจากอะไรก็ตาม ที่เรียกว่านอกตัวเรามา พอถึงแล้วก็โยนิโสมนสิการว่าให้เป็นความรู้ เป็นสมบัติ พอจะลงมือทำอะไรก็โยนิโสมนสิการในสิ่งที่จะทำให้ดีที่สุด มันก็ผิดพลาดน้อยที่สุด"
เพียงเท่านี้ การเลือกรับข่าว และการรับแอดเพื่อนใหม่ๆ หรือการเลือกกลุ่มเพื่อนก็จะมีความรอบคอบ รอบด้าน ไม่แตกตื่นและไม่เครียดกับข้อมูลข่าวสารโดยใช่เหตุ ทั้งยังมีแต่เรื่องราวดีๆ ในหน้า Facebook ของเรา

ก่อนคลิกเข้า Facebook ครั้งต่อไป อย่าลืมสร้างภูมิคุ้มใจให้แข็งแรง และใช้ชุมชนออนไลน์นี้เป็นช่องทางในการแบ่งปันเรื่องราวดีๆ แล้วรับรองว่า จากนี้ไป Facebook จะไม่เป็นเพียงของเล่นเพียงชั่วคราว แต่จะเป็นเครื่องมือสร้างความสุขแบบถาวรให้คุณได้ในที่สุด